* กดรับ Link นิยายรสแซ่บได้ที่ปกทุกปกเลยจ้าา *

niyayZAP Related E-Books Related E-Books Related E-Books Related E-Books Series E-Books niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน niyayZAP Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP Related E-Books niyayZAP niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books  Series E-Books

วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เทพนิยาย: เจ้าหญิงผู้เงียบงัน | THE SILENT PRINCESS


เส้นแนวนอน

เจ้าหญิงผู้เงียบงัน

THE SILENT PRINCESS


โดย
 แอนดรูว์ แลง
 ด้วยการแสดงความเคารพของผู้เขียน
เส้นแนวนอน

คุยกันก่อนอ่าน

เทพนิยายเรื่องนี้มีบางส่วนที่เป็นไปในแนวโรมานซ์แฟนตาซีที่บางเนื้อหาหรือบางบริบทอาจจะบรรยายร้อนแรงเกินมาตรฐานที่หลายคนคุ้นเคย แต่ก็ยังคงเป็นงานวรรณกรรม ในหมวดหมู่ตำนาน, นิทาน, นิยาย จึงไม่มีอันตรายต่อสัตว์หรือคน สำหรับชื่อ บุคลิกของตัวละคร สถานที่ และเหตุการณ์ที่อาจจะปรากฏอยู่ในเรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดจากจินตนาการ การสมมุติและการเติมต่อของผู้ปรับแปลผลงานบ้างบางส่วน

ติดตามกันบนโซเชียลมีเดียเพื่อรับข่าวสารล่าสุด!

Instagram: @niyayzap

Facebook: @NiyayZAP

Youtube: @niyay-romance-official

🍁 ⍣⍣⍣ ราคาบน Apple อาจจะแตกต่างกันมาก แนะนำให้คุณนักอ่านเลือกโหลดผ่านทาง web 'MEBmarket' ที่นั่นคุณจะได้ราคาที่น่ารักกว่าและสามารถอ่านนิยายผ่าน Application ได้ตามปกติเหมือนเดิมนะคะ ⍣⍣⍣ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกโหลดค่ะ 🍁

เส้นแนวนอน


กาลครั้งหนึ่งมีมหาอำมาตย์คนหนึ่งอาศัยอยู่ในตุรกีซึ่งมีลูกชายเพียงคนเดียว และเขารักเด็กคนนี้มากจนปล่อยให้เขาใช้เวลาทั้งวันสนุกสนานกับตัวเอง แทนที่จะเรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์เหมือนเพื่อนๆ ของเขา

ตอนนี้ของเล่นสุดโปรดของเด็กชายคือลูกบอลทองคำ และด้วยสิ่งนี้ เขาจะเล่นตั้งแต่เช้าจรดค่ำโดยไม่รบกวนใครเลย  วันหนึ่ง ขณะนั่งอยู่ในบ้านฤดูร้อนในสวน ให้ลูกบอลวิ่งไปตามผนังแล้วจับอีกครั้ง สังเกตเห็นหญิงชราคนหนึ่งถือเหยือกดินมาตักน้ำจากบ่อน้ำที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง ของสวน  ชั่วครู่หนึ่งเขาก็จับลูกบอลแล้วโยนมันตรงไปที่เหยือกซึ่งตกลงไปที่พื้นเป็นพันชิ้น  หญิงชราเริ่มด้วยความประหลาดใจแต่ก็ไม่พูดอะไร  เพียงแต่หันกลับไปหยิบเหยือกอีกใบหนึ่ง และทันทีที่เธอหายตัวไป เด็กชายก็รีบออกไปหยิบลูกบอลของเขา

แทบไม่ได้กลับมาที่เรือนพักร้อนอีกเลย เมื่อเห็นหญิงชราเป็นครั้งที่สอง เดินไปถึงบ่อน้ำโดยมีเหยือกบนไหล่ของเธอ  เธอเพิ่งจับที่จับเพื่อหย่อนมันลงไปในน้ำ ทันใดนั้น—เกิดอุบัติเหตุ!  และเหยือกก็วางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแทบเท้าของเธอ  แน่นอนว่าเธอรู้สึกโกรธมาก แต่เพราะกลัวมหาอำมาตย์ เธอจึงยังคงสงบสติอารมณ์ และใช้เงินเพนนีสุดท้ายในการซื้อเหยือกสด  แต่เมื่อสิ่งนี้ถูกลูกบอลหักด้วย ความโกรธของเธอก็ระเบิดออกมาและโบกมือไปทางบ้านพักฤดูร้อนที่เด็กชายซ่อนตัวอยู่ เธอร้องว่า:

'ฉันหวังว่าท่านจะถูกลงโทษด้วยการตกหลุมรักเจ้าหญิงผู้เงียบงัน' และเมื่อพูดเช่นนี้เธอก็หายตัวไป

เด็กชายไม่ได้สนใจคำพูดของเธออยู่ระยะหนึ่ง เขาลืมถ้อยคำเหล่านั้นไปเสียสนิท  แต่เมื่อหลายปีผ่านไป และเขาเริ่มคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ มากขึ้น ความทรงจำเกี่ยวกับความปรารถนาของหญิงชราก็กลับมาในจิตใจของเขา

'ใครคือเจ้าหญิงเงียบ?  แล้วทำไมการตกหลุมรักเธอถึงเป็นการลงโทษล่ะ?’ เขาถามตัวเองและไม่ได้รับคำตอบ  อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้ขัดขวางไม่ให้เขาถามคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งในที่สุดเขาก็อ่อนแอลงและป่วยหนักจนกินอะไรไม่ได้เลย และสุดท้ายก็ถูกบังคับให้นอนบนเตียงด้วยกัน  พ่อของเขาซึ่งเป็นมหาอำมาตย์ตื่นตระหนกกับโรคประหลาดนี้มากจนส่งแพทย์ทุกคนในราชอาณาจักรมารักษาเขา แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาวิธีรักษาได้

“อาการป่วยของท่านเริ่มต้นได้อย่างไรลูกชายของฉัน” วันหนึ่งมหาอำมาตย์ถาม  'บางทีถ้าเรารู้อย่างนั้น เราก็ควรรู้ดีกว่าว่าต้องทำอะไรให้ท่าน'

จากนั้นเด็กหนุ่มก็เล่าให้เขาฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขายังเป็นเด็ก และสิ่งที่หญิงชราพูดกับเขา

“ขอเถอะนะ” เขาร้องเมื่อนิทานของเขาจบลง “ขอเถอะ ให้ฉันออกไปตามหาเจ้าหญิงในโลกนี้ และบางทีสภาพที่ชั่วร้ายนี้อาจยุติลง” และเจ็บปวดรวดร้าว แม้ว่าหัวใจของเขาจะพรากจากลูกชายคนเดียวของเขา แต่มหาอำมาตย์ก็รู้สึกว่าชายหนุ่มจะต้องตายอย่างแน่นอนหากเขาอยู่บ้านอีกต่อไป

“ไปเถิด และสันติสุขจงดำรงอยู่กับท่าน” เขาตอบ  และออกไปเรียกสจ๊วตที่เขาไว้ใจให้ไปกับนายหนุ่มของเขา

ไม่นานพวกเขาก็เตรียมการ และเช้าวันหนึ่งทั้งสองก็ออกเดินทาง  แต่ทั้งชายชราและเด็กต่างก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหนหรือกำลังทำอะไรอยู่  ตอนแรกหลงทางอยู่ในป่าทึบ ต่อมาก็ออกไปเที่ยวในถิ่นทุรกันดารเที่ยวอยู่หกเดือน ไม่เห็นสัตว์เลยหาอะไรกินหรือดื่มแทบไม่ได้เลย จนกลายเป็นไม่มีอะไรนอกจากหนังและกระดูก ขณะที่เสื้อผ้าของพวกเขาขาดรุ่งริ่ง  พวกเขาลืมเจ้าหญิงไปหมดสิ้นแล้ว และความปรารถนาเดียวของพวกเขาก็คือการกลับมาอยู่ในวังอีกครั้ง วันหนึ่ง พวกเขาพบว่าพวกเขากำลังยืนอยู่บนไหล่ภูเขา  ก้อนหินที่อยู่เบื้องล่างส่องแสงเจิดจ้าดุจเพชร และหัวใจทั้งสองก็เต้นด้วยความยินดีเมื่อเห็นชายชราร่างเล็กเดินเข้ามาหาพวกเขา  ภาพนั้นปลุกความทรงจำทุกรูปแบบ  ความรู้สึกมึนงงที่ครอบงำพวกเขาก็หายไปราวกับถูกเวทย์มนตร์และทักทายผู้มาใหม่ด้วยเสียงยินดี  

'เพื่อนเอ๋ย เราอยู่ที่ไหน' ถามพวกเขา  และชายชราบอกพวกเขาว่านี่คือภูเขาที่ลูกสาวของสุลต่านนั่งอยู่โดยมีผ้าคลุมเจ็ดผืนปกคลุมอยู่ และการส่องแสงของหินเป็นเพียงภาพสะท้อนของความฉลาดของเธอเท่านั้น

เมื่อทราบข่าวนี้แล้ว อันตรายและความยากลำบากแห่งการเร่ร่อนในอดีตก็หายไปจากใจ

'ฉันจะติดต่อเธอโดยเร็วที่สุดได้อย่างไร' เยาวชนถามอย่างกระตือรือร้น  แต่ชายชรากลับตอบเพียงว่า:

'อดทนหน่อยนะลูกชายของฉัน อีกสักพักหนึ่ง'  ต้องใช้เวลาอีกหกเดือนก่อนที่ท่านจะมาถึงวังที่เธออาศัยอยู่กับผู้หญิงที่เหลือ  และถึงกระนั้น จงคิดให้ดี เมื่อทำได้ หากไม่ทำให้เธอพูด ท่านจะต้องชดใช้ชีวิตเหมือนที่คนอื่นทำ  ดังนั้นจงระวังไว้ด้วย!'

แต่เจ้าชายเพียงแต่หัวเราะกับคำแนะนำนี้—เหมือนกับที่คนอื่นก็ทำเช่นกัน

ผ่านไปสามเดือน พวกเขาก็พบว่าตัวเองอยู่บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง และเจ้าชายก็เห็นด้วยความประหลาดใจที่ด้านข้างของมันกลายเป็นสีแดงสวยงาม  มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ตามหน้าผาไม่ไกลนัก เจ้าชายจึงเสนอเพื่อนให้ไปพักผ่อนที่นั่น  ชาวบ้านก็ต้อนรับพวกเขาด้วยความยินดี ให้อาหารและที่นอนแก่พวกเขา และขอบท่านนักเดินทางทั้งสองที่ได้พักแขนขาที่เหนื่อยล้าของพวกเขา

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาถามเจ้าบ้านว่าเขาจะบอกได้ไหมว่าพวกเขายังต้องเดินทางจากเจ้าหญิงอีกหลายวันหรือไม่ และเขารู้ไหมว่าทำไมภูเขาจึงแดงกว่าภูเขาอื่นๆ มาก

“อีกสามเดือนครึ่งเจ้ายังต้องดำเนินตามทางของตน” เขาตอบ “และเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะพบว่าตัวเองอยู่ที่ประตูพระราชวังของเจ้าหญิง”  ส่วนสีของภูเขานั้นมาจากสีแก้มและปากอันอ่อนละมุนซึ่งส่องผ่านม่านทั้งเจ็ดที่คลุมตัวเธอไว้  แต่ไม่มีใครเคยจ้องหน้าเธอเลย เพราะเธอนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้ว่าจะมีใครได้ยินกระซิบว่ามีหลายคนเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เธอก็ตาม”

อย่างไรก็ตาม เจ้าชายกลับไม่ฟังอีกต่อไป  และขอบท่านชายคนนั้นสำหรับความมีน้ำใจของเขา เขาจึงกระโดดขึ้นไปพร้อมกับคนดูแลและออกไปปีนภูเขา

พวกเขาไปนอนใต้ต้นไม้หรือในถ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า และอาศัยอยู่บนผลเบอร์รี่และปลาทุกชนิดที่สามารถจับได้ในแม่น้ำ  แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเสื้อผ้าของพวกเขาแทบจะขาดผ้าขี้ริ้วและขาของพวกเขาเมื่อยล้าจนแทบจะเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว พวกเขาเห็นวังหินอ่อนสีเหลืองอยู่บนยอดเขาถัดไป

“ในที่สุดก็ถึงแล้ว” เจ้าชายร้อง  และเลือดสดก็ดูเหมือนจะไหลออกมาในเส้นเลือดของเขา  แต่เมื่อเขาและเพื่อนเริ่มปีนขึ้นไปบนยอดเขา พวกเขาก็หยุดด้วยความหวาดกลัว เพราะพื้นดินขาวโพลนและมีกระโหลกคนตาย  เจ้าชายเป็นคนแรกที่ฟื้นเสียงของเขา และเขาพูดกับเพื่อนของเขาอย่างไม่ใส่ใจเท่าที่จะทำได้:

'พวกนี้คงจะเป็นกระโหลกของผู้ชายที่พยายามทำให้เจ้าหญิงพูดแต่ล้มเหลว  ถ้าเราล้มเหลวเหมือนกัน กระดูกของเราก็จะเกลื่อนพื้นเหมือนกัน'

'โอ้!  เจ้าชายของข้าพเจ้า หันกลับไปเถิด เมื่อยังมีเวลาอยู่” สหายของพระองค์ก็เข้ามา  “บิดาของเจ้ามอบเจ้าให้ดูแลข้าพเจ้า  แต่เมื่อเราออกเดินทางฉันไม่รู้ว่ามีความตายอยู่ตรงหน้าเรา

“ทำใจไว้ โอ ลาลา ทำใจ!” เจ้าชายตอบ  'ผู้ชายสามารถตายได้เพียงครั้งเดียว  และอีกอย่าง เจ้าหญิงจะต้องพูดสักวันหนึ่งนะรู้ไหม'

ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางต่อไปอีกครั้ง ผ่านกะโหลกและกระดูกคนตายด้วยความขาวทุกระดับ  ครั้นผ่านไปแล้วพวกเขาก็ไปถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งตั้งใจว่าจะพักสักหน่อย เพื่อจะได้มีสติปัญญาที่แจ่มใสสำหรับงานที่อยู่ตรงหน้า  แต่คราวนี้ แม้ว่าผู้คนจะใจดีและเป็นมิตร แต่ใบหน้าของพวกเขาก็มืดมน และเสียงร้องอันเลวร้ายก็ดังขึ้นในอากาศเป็นครั้งคราว

'โอ้!  พี่ชายของฉัน ฉันสูญเสียท่านไปแล้วเหรอ?’ ‘โอ้!  ลูกเอ๋ย เราจะไม่เห็นเจ้าอีกต่อไปแล้วหรือ?” จากนั้นเมื่อเจ้าชายและสหายของเขาถามถึงความหมายของการคร่ำครวญเหล่านี้ ซึ่งก็ชัดเจนเพียงพอแล้ว ก็ได้คำตอบว่า

'อา ท่านก็มาที่นี่เพื่อตายด้วย!  เมืองนี้เป็นของบิดาของเจ้าหญิง และเมื่อคนหุนหันพลันแล่นพยายามทำให้เจ้าหญิงพูด เขาจะต้องได้รับการลาจากสุลต่านก่อน  หากสิ่งนั้นได้รับอนุญาตแก่เขา เขาก็จะถูกพาเข้าเฝ้าเจ้าหญิง  จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น บางทีการเห็นกระดูกเหล่านี้อาจช่วยให้ท่านเดาได้

ชายหนุ่มก้มศีรษะแสดงความขอบท่าน และยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วจึงหันไปหาลาลาแล้วกล่าวว่า

'เอาล่ะ ชะตากรรมของเราจะถูกตัดสินในไม่ช้า!  ในขณะเดียวกันเราจะค้นหาสิ่งที่เราสามารถทำได้ และไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม'

พวกเขาเดินไปตามตลาดสดเป็นเวลาสองหรือสามวัน โดยลืมตาและหู เช้าวันหนึ่ง พวกเขาพบชายคนหนึ่งกำลังอุ้มนกไนติงเกลอยู่ในกรง  นกร้องเพลงอย่างสนุกสนานจนเจ้าชายหยุดฟัง และเสนอที่จะซื้อนกจากเจ้าของทันที

“โอ้ ทำไมท่านถึงมายุ่งกับเรื่องไร้ประโยชน์แบบนี้” ลาลาร้องด้วยความรังเกียจ  'เจ้ายังใช้มือและใจไม่พอไม่แบกภาระอีกหรือ' แต่พระราชาผู้ชอบมีทางของตัวเองกลับไม่ใส่ใจเขา และจ่ายราคาสูงตามที่ชายร้องขอก็ทรงอุ้มนก กลับถึงโรงแรมแล้ววางไว้ในห้องของตน  เย็นวันนั้น ขณะที่เขานั่งอยู่คนเดียว พยายามนึกถึงสิ่งที่จะทำให้เจ้าหญิงพูดได้ แต่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง นกไนติงเกลก็จิกเปิดประตูกรงซึ่งมีไม้เรียวผูกไว้เบาๆ และเกาะอยู่บนกรงของเขา ไหล่กระซิบข้างหูเบาๆ :

“อะไรทำให้ท่านเศร้าใจขนาดนี้ เจ้าชาย” ชายหนุ่มเริ่ม  ในประเทศบ้านเกิดของเขา นกไม่พูด และเช่นเดียวกับหลายๆ คน เขามักจะกลัวสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอยู่เสมอ  แต่ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกละอายใจกับความโง่เขลาของเขา และอธิบายว่าเขาได้เดินทางมานานกว่าหนึ่งปีและเป็นระยะทางหลายพันไมล์เพื่อเอาชนะใจลูกสาวของสุลต่าน  และตอนนี้เมื่อเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาก็ไม่สามารถคิดแผนการที่จะบังคับให้เธอพูดได้

'โอ้!  อย่าไปยุ่งกับเรื่องนั้นเลย” นกตอบ “มันง่ายมาก!  เย็นวันนี้ไปที่อพาร์ตเมนต์ของผู้หญิงแล้วพาฉันไปด้วย และเมื่อท่านเข้าไปในห้องส่วนตัวของเจ้าหญิงก็ซ่อนฉันไว้ใต้แท่นที่รองรับเชิงเทียนทองคำอันยิ่งใหญ่  เจ้าหญิงเองก็จะถูกพันไว้อย่างหนาด้วยผ้าคลุมทั้งเจ็ดของเธอจนเธอมองไม่เห็นอะไรเลย และไม่มีใครมองเห็นใบหน้าของเธอด้วย  แล้วสอบถามเรื่องสุขภาพของเธอ แต่เธอก็จะนิ่งเงียบ  แล้วพูดว่าท่านขอโทษที่รบกวนเธอ และท่านจะคุยกับฐานเชิงเทียนนิดหน่อย  เมื่อท่านพูดฉันจะตอบ'

เจ้าชายทรงโยนเสื้อคลุมของพระองค์เหนือนก และเริ่มเสด็จไปยังพระราชวัง ที่นั่นพระองค์ทรงขอร้องให้สุลต่านเข้าเฝ้า  ในไม่ช้าเขาก็ได้รับสิ่งนี้ และทิ้งนกไนติงเกลไว้ใต้เสื้อคลุมในมุมมืดด้านนอกประตู เขาเดินขึ้นไปบนบัลลังก์ที่ฝ่าบาทประทับอยู่ และก้มคำนับลงต่อพระพักตร์พระองค์

The prince reclines, listening, as the princess speaks

“คำขอของท่านคืออะไร” สุลต่านถามและมองดูชายหนุ่มที่สูงและหล่ออย่างใกล้ชิด  แต่เมื่อได้ยินนิทานก็ส่ายหัวอย่างสมเพช

“ถ้าเธอสามารถให้เธอพูดได้เธอก็จะเป็นภรรยาของท่าน” เขาตอบ  'แต่ถ้าไม่ใช่—ท่านได้ทำเครื่องหมายกะโหลกที่เกลื่อนกลาดไปตามภูเขาหรือเปล่า?'

“สักวันหนึ่งผู้ชายจะต้องทำลายมนต์สะกดนี้ โอ สุลต่าน” ตอบเยาวชนอย่างกล้าหาญ  'แล้วทำไมฉันถึงไม่เป็นเขาเหมือนคนอื่นล่ะ?  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพูดของฉันก็ได้รับคำมั่นสัญญา และฉันไม่สามารถถอยกลับได้ในตอนนี้’

“ถ้าจำเป็นก็ไปเถอะ” สุลต่านกล่าว  และเขาสั่งให้คนรับใช้ของเขานำทางไปยังห้องของเจ้าหญิงแต่เพื่อให้ชายหนุ่มเข้าไปเพียงลำพัง

เมื่อไล่ตามเสื้อคลุมและกรงของเขาที่มองไม่เห็นขณะที่พวกเขาเดินผ่านทางเดินอันมืดมิด—เพราะถึงเวลากลางคืน—เด็กหนุ่มพบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องที่เปลือยเปล่า ยกเว้นหมอนอิงผ้าไหมกองหนึ่ง และเชิงเทียนสีทองสูงต้นหนึ่ง  หัวใจของเขาเต้นรัวขณะที่มองดูหมอนอิง และรู้ว่ามีผ้าคลุมที่ส่องแสงแวววาวปกคลุมอยู่ และได้วางเจ้าหญิงที่ใฝ่ฝันไว้มาก  จากนั้น ด้วยความกลัวว่าสายตาอื่นๆ จะจ้องมองเขา เขาจึงรีบวางนกไนติงเกลไว้ใต้แท่นที่เปิดซึ่งมีเชิงเทียนวางอยู่ และหันกลับมาอีกครั้ง เขาก็ควบคุมเสียงของเขา และขอร้องให้เจ้าหญิงบอกเขาถึงความเป็นอยู่ที่ดีของเธอ

เจ้าหญิงไม่ได้แสดงให้เธอเห็นว่าเธอได้ยินแม้แต่การขยับมือเลย และชายหนุ่มที่คาดหวังไว้เช่นนั้น ยังได้พูดถึงการเดินทางของเขาและประเทศแปลกๆ ที่เขาเคยผ่านมา  แต่ไม่มีเสียงใดทำลายความเงียบ

“ฉันเห็นชัดเจนว่าท่านไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย” เขากล่าวในที่สุด “และในขณะที่ฉันถูกบังคับให้สงบสติอารมณ์มาหลายเดือนแล้ว ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันต้องคุยกับใครสักคนจริงๆ ดังนั้นฉันจะไปพูดบทสนทนาของฉันที่เชิงเทียน' แล้วเขาก็เดินข้ามห้องไปด้านหลังเจ้าหญิงและร้องว่า: 'โอ เชิงเทียนที่งดงามที่สุด สบายดีไหม'

“ดีจริงๆ พระเจ้าข้า” นกไนติงเกลตอบ  'แต่ฉันสงสัยว่าผ่านไปกี่ปีแล้วตั้งแต่มีคนคุยกับฉัน  และตอนนี้เมื่อท่านมาแล้ว พักผ่อนเถอะ ฉันขอภาวนาให้ท่านฟังเรื่องราวของฉันสักครู่”

“ด้วยความสมัครใจ” เด็กหนุ่มตอบ ขดตัวลงกับพื้น เพราะไม่มีเบาะรองนั่งให้เขานั่ง

'กาลครั้งหนึ่ง' นกไนติงเกลเริ่ม 'มีมหาอำมาตย์คนหนึ่งอาศัยอยู่ซึ่งมีลูกสาวเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในราชอาณาจักรทั้งหมด  เธอมีคู่ครองมากมาย แต่เธอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาใจ และท้ายที่สุดแล้วมีเพียงสามคนเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเธอคิดจะแต่งงานด้วยซ้ำ  โดยไม่รู้ว่าเธอชอบคนไหนมากที่สุด เธอจึงปรึกษากับพ่อของเธอ ซึ่งเรียกชายหนุ่มมาเข้าเฝ้า แล้วบอกพวกเขาว่าพวกเขาแต่ละคนจะต้องเรียนรู้การค้าขาย และไม่ว่าใครก็ตามที่พิสูจน์ได้ว่าฉลาดที่สุดในตอนท้าย หกเดือนก็จะได้เป็นสามีของเจ้าหญิง

'แม้ว่าคู่ครองทั้งสามอาจจะแอบผิดหวัง แต่พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการทดสอบนี้ค่อนข้างยุติธรรม และออกจากวังด้วยกัน พูดคุยกันในขณะที่พวกเขาไปเกี่ยวกับงานฝีมือที่พวกเขาอาจจะตั้งใจทำตาม  วันนั้นอากาศร้อน เมื่อพวกเขาไปถึงบ่อน้ำที่พุ่งออกมาจากด้านข้างภูเขา พวกเขาก็หยุดดื่มและพักผ่อน แล้วคนหนึ่งก็พูดว่า:

“จะเป็นการดีที่สุดที่เราแต่ละคนแสวงหาโชคลาภของเราเพียงลำพัง  ให้เราวางแหวนไว้ใต้ก้อนหินนี้แล้วแยกทางกัน  และคนแรกที่กลับมาที่นี่จะต้องเอาแหวนของเขาไป ส่วนคนอื่นๆ จะได้รับแหวนของพวกเขาไป  ดังนั้นเราจะรู้ว่าเราทุกคนได้ปฏิบัติตามคำสั่งของมหาอำมาตย์แล้วหรือยัง หรือว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับพวกเราคนใดคนหนึ่ง”

“ดี” อีกสองคนตอบ  และวงแหวนสามวงถูกวางไว้ในรูเล็กๆ และปิดอย่างระมัดระวังด้วยหินอีกครั้ง

“แล้วพวกเขาก็จากไป เป็นเวลาหกเดือนที่พวกเขาไม่เคยรู้จักกันเลย จนกระทั่งถึงวันนัดที่พวกเขาได้พบกันที่น้ำพุ  ดีใจที่พวกเขาทุกคนยินดี และกระตือรือร้นที่จะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำ และวิธีที่ใช้เวลาไป

“ฉันคิดว่าฉันจะชนะเจ้าหญิง” ผู้อาวุโสที่สุดพูดพร้อมกับหัวเราะ “เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเดินทางทั้งปีได้ภายในหนึ่งชั่วโมง!”

“นั่นฉลาดมากแน่นอน” เพื่อนของเขาตอบ  “แต่ถ้าจะปกครองอาณาจักร อาจมีประโยชน์มากกว่าที่จะมีอำนาจในการมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะไกล  และนั่นคือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้” คนที่สองตอบ

“ไม่ ไม่ สหายที่รัก” คนที่สามร้อง “การค้าขายของท่านดีมาก  แต่เมื่อมหาอำมาตย์ได้ยินว่าข้าพเจ้าสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ เขาก็จะได้รู้ว่าพวกเราสามคนคนไหนเป็นลูกเขยของเขา  แต่เอาน่า เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงจากหกเดือนที่พระองค์ประทานแก่เรา  ถึงเวลาที่เราจะต้องรีบกลับวังแล้ว”

“หยุดสักครู่” คนที่สองพูด “คงจะดีถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวัง”  แล้วทรงเด็ดใบไม้เล็กๆ จากต้นไม้ใกล้ ๆ แล้วทรงพึมพำถ้อยคำและทำหมายบางอย่าง แล้วทรงปิดพระเนตร  ทันใดนั้นเขาก็หน้าซีดและร้องไห้ออกมา

'"มันคืออะไร?  มันคืออะไร?"  คนอื่นอุทาน;  และด้วยเสียงที่สั่นเทาเขาก็อ้าปากค้าง:

“เจ้าหญิงนอนอยู่บนเตียง และมีเวลามีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่นาที  โอ้!  ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้หรือ?”

“ฉันทำได้” บุคคลที่สามตอบ พร้อมหยิบกล่องเล็กๆ จากผ้าโพกหัวของเขา  “ครีมนี้จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บใดๆ  แต่จะไปถึงเธอทันเวลาได้อย่างไร”

“เอามาให้ฉันสิ” คนแรกพูด  และเขาปรารถนาที่จะอยู่ข้างเตียงของเจ้าหญิง ซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยสุลต่านและนายหน้าที่กำลังร้องไห้ของเขา  เห็นได้ชัดว่าไม่มีเวลาเหลือสักวินาทีเดียว เพราะเจ้าหญิงหมดสติไปแล้ว และใบหน้าของเธอก็เย็นชา  เขาใช้นิ้วจิ้มไปที่ตา ปาก และหูของเธอ และรอผลลัพธ์ด้วยหัวใจที่เต้นแรง

'มันเร็วกว่าที่เขาคิด  ขณะที่เขามองดู สีสันก็กลับมาที่แก้มของเธอ และเธอก็ยิ้มให้พ่อของเธอ  สุลต่านเกือบจะพูดไม่ออกด้วยความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ ทรงโอบกอดพระธิดาอย่างอ่อนโยน แล้วหันไปหาชายหนุ่มที่เขาเป็นหนี้ชีวิตเธอด้วย:

“ท่านไม่ใช่หนึ่งในสามคนที่ฉันส่งไปเรียนรู้การค้าเมื่อหกเดือนที่แล้วเหรอ?”  ถามเขา.  และชายหนุ่ม ตอบว่าใช่ และอีกสองคนกำลังเดินทางไปพระราชวังเพื่อที่สุลต่านจะตัดสินระหว่างพวกเขา”

เมื่อถึงจุดนี้ในเรื่องราวของเขา นกไนติงเกลก็หยุดและถามเจ้าชายคนไหนในสามคนที่เขาคิดว่ามีสิทธิ์ที่สุดสำหรับเจ้าหญิง

“ผู้ที่เรียนรู้วิธีเตรียมการเจิม” เขาตอบ

“แต่ถ้าไม่ใช่เพราะชายที่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะไกล พวกเขาคงไม่มีทางรู้ว่าเจ้าหญิงป่วย” นกไนติงเกลกล่าว  “ฉันจะให้เขา” และความขัดแย้งระหว่างทั้งสองก็รุนแรงขึ้น จนกระทั่งทันใดนั้น เจ้าหญิงผู้ฟังก็ลุกขึ้นจากเบาะแล้วร้องว่า

'คนโง่เขลา!  ท่านไม่เข้าใจหรือว่าถ้าไม่ใช่เพราะผู้ที่มีอำนาจไปถึงพระราชวังได้ทันเวลา การเจิมนั้นก็ไร้ประโยชน์ เพราะความตายจะครอบงำเธอ?  เขาและไม่มีใครควรจะได้เจ้าหญิง!'

เมื่อได้ยินเสียงแรกของเจ้าหญิง ทาสคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่หน้าประตูก็วิ่งเต็มความเร็วไปบอกสุลต่านถึงปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น และบิดาผู้ยินดีก็รีบไปที่จุดนั้น  แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ เจ้าหญิงก็รู้ว่าเธอตกหลุมพรางซึ่งน่ารังเกียจสำหรับเธอ และไม่ยอมพูดอะไรอีก  สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือทำป้ายบอกพ่อของเธอว่าชายที่อยากเป็นสามีของเธอจะต้องชักจูงให้เธอพูดสามครั้ง  และเธอก็ยิ้มกับตัวเองภายใต้ผ้าคลุมทั้งเจ็ดของเธอขณะที่เธอคิดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เมื่อสุลต่านบอกเจ้าชายว่าแม้เขาจะประสบความสำเร็จครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ยังมีเวลาอีกสองครั้งในการผ่านการทดสอบครั้งเดียวกัน ใบหน้าของชายหนุ่มก็ขุ่นมัว  ดูเหมือนว่าเขาจะเล่นไม่ยุติธรรม แต่เขาไม่กล้าคัดค้าน ดังนั้นเขาจึงเพียงโค้งคำนับและพยายามจะถอยหลังเข้าไปใกล้จุดที่ซ่อนนกไนติงเกลไว้  เนื่องจากตอนนี้ค่อนข้างมืดแล้ว เขาจึงเก็บกรงเล็กๆ ที่มองไม่เห็นไว้ใต้เสื้อคลุมของเขา และออกจากวังไป

“ทำไมท่านถึงมืดมนขนาดนี้” นกไนติงเกลถามทันทีที่ออกไปข้างนอกอย่างปลอดภัย  'ทุกอย่างลงตัวแล้ว!  แน่นอนว่าเจ้าหญิงโกรธตัวเองมากที่พูดออกไป  และท่านเห็นไหมว่าเมื่อพูดครั้งแรก ผ้าคลุมที่ปกคลุมเธอก็เริ่มเผยออก?  พาฉันกลับไปพรุ่งนี้ตอนเย็น และวางฉันไว้บนเสาข้างตะแกรง  ไม่ต้องกลัวอะไร ท่านต้องเชื่อใจฉันเท่านั้น!'

เย็นวันรุ่งขึ้นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เจ้าชายก็ทิ้งกรงไว้ข้างหลัง และมีนกอยู่ในพับเสื้อผ้าของเขาก็เล็ดลอดเข้าไปในวังแล้วตรงไป ไปยังห้องของเจ้าหญิง  ทันใดนั้นเขาก็เข้ารับการรักษาโดยพวกทาสที่เฝ้าประตู และพยายามเดินผ่านไปใกล้หน้าต่าง เพื่อที่นกไนติงเกลจะกระโดดขึ้นไปบนยอดเสาโดยไม่มีใครมองเห็น  จากนั้นเขาก็หันไปโค้งคำนับเจ้าหญิงและถามคำถามกับเธอหลายข้อ  แต่เธอไม่ตอบเช่นเดิม และไม่ได้แสดงท่าทีว่าเธอได้ยินเลย  หลังจากนั้นไม่กี่นาที ชายหนุ่มก็โค้งคำนับอีกครั้ง และข้ามไปที่หน้าต่าง เขาพูดว่า:

'โอ้เสา!  มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับเจ้าหญิง เธอจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว  และเมื่อฉันต้องคุยกับใครสักคน ฉันก็มาพบท่าน  บอกฉันหน่อยว่าท่านเป็นยังไงบ้าง?

“ฉันขอบท่าน” เสียงหนึ่งตอบจากเสา “ฉันรู้สึกสบายดีมาก”  และโชคดีสำหรับฉันที่เจ้าหญิงเงียบ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่อยากคุยกับฉัน  เพื่อเป็นรางวัลแก่ท่าน ฉันจะเล่าเรื่องที่น่าสนใจที่ฉันได้ยินเมื่อเร็วๆ นี้ให้ท่านฟัง และเป็นเรื่องที่ฉันอยากจะขอความคิดเห็นจากท่าน”

“นั่นคงจะมีเสน่ห์มาก” เจ้าชายตอบ “ดังนั้นจงเริ่มอธิษฐานทันที”

นกไนติงเกลกล่าวว่า "กาลครั้งหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมากจนชายทุกคนที่เห็นเธอตกหลุมรักเธอ"  แต่เธอก็เอาใจยากมากและปฏิเสธที่จะแต่งงานกับใครเลย แม้ว่าเธอจะรักษาเพื่อนฝูงไว้ได้ก็ตาม  หลายปีผ่านไปในลักษณะนี้ โดยแทบไม่มีเธอสังเกตเห็น ชายหนุ่มเริ่มเบื่อหน่ายกับการรอคอยทีละคน และมองหาภรรยาที่อาจหล่อน้อยกว่าแต่ก็ภูมิใจน้อยลงด้วย และในที่สุด อดีตคู่รักของเธอมีเพียงสามคนเท่านั้น ยังคงอยู่—บัลด์ชิ, จักด์ชิ และไฟเรดชิ  เธอยังคงแยกตัวออกจากกัน คิดว่าตัวเองดีกว่าและน่ารักกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ เมื่อในเย็นวันหนึ่ง ดวงตาของเธอก็เปิดออกสู่ความจริงในที่สุด  เธอนั่งอยู่หน้ากระจก กำลังหวีผมหยิก ท่ามกลางผมอีกาเธอก็พบผมยาวสีขาว!

“เมื่อเห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้ หัวใจของนางก็เต้นรัว แล้วก็หยุดนิ่ง

“ฉันแก่แล้ว” เธอพูดกับตัวเอง “และถ้าฉันไม่เลือกสามีเร็วๆ นี้ ฉันก็จะไม่มีวันได้สามี!  ฉันรู้ว่าชายทั้งสองคนยินดีที่จะแต่งงานกับฉันพรุ่งนี้ แต่ฉันไม่สามารถตัดสินใจระหว่างพวกเขาได้  ฉันจะต้องคิดค้นวิธีบางอย่างเพื่อค้นหาว่าอันไหนดีที่สุดและไม่ต้องเสียเวลาไปกับมัน”

แทนที่จะเข้านอน เธอกลับคิดแผนต่างๆ ตลอดทั้งคืน และในตอนเช้าเธอก็ลุกขึ้นแต่งตัว

“นั่นจะต้องเป็นเช่นนั้น” เธอพึมพำขณะดึงผมสีขาวที่ทำให้เธอลำบากใจมากออกมา  “มันไม่ค่อยดีนัก แต่ฉันไม่สามารถคิดอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้ว  และ—ก็ พวกเขาไม่ใช่คนฉลาดเลย และฉันกล้าพูดได้เลยว่าพวกเขาจะตกหลุมพรางได้อย่างง่ายดาย”  จากนั้นเธอก็เรียกทาสของเธอและบอกให้ Jagdschi รู้ว่าเธอจะพร้อมจะรับเขาภายในหนึ่งชั่วโมง  หลังจากนั้นนางเข้าไปในสวนและขุดหลุมศพไว้ใต้ต้นไม้ แล้วใช้ผ้าห่อศพสีขาวคลุมไว้

'จากด์ชิรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับข้อความอันสง่างาม  และสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ล่าสุดแล้วรีบไปที่บ้านของหญิงสาวคนนั้น แต่เขาต้องตกใจอย่างมากเมื่อพบว่าเธอนอนเหยียดอยู่บนเบาะของเธอและร้องไห้อย่างขมขื่น

"มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โอ ผู้ทรงธรรม"  เขาถามพลางก้มตัวลงต่อหน้าเธอ

“มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น” เธอพูด น้ำเสียงของเธออัดแน่นไปด้วยสะอื้น  “พ่อของฉันเสียชีวิตไปเมื่อสองคืนก่อน และฉันก็ฝังเขาไว้ในสวนของฉัน  แต่ตอนนี้ฉันพบว่าเขาเป็นพ่อมดและยังไม่ตายเลย เพราะหลุมศพของเขาว่างเปล่าและเขากำลังเดินทางไปที่ไหนสักแห่งในโลก”

“นั่นเป็นข่าวร้ายจริงๆ” Jagdschi ตอบ  “แต่ฉันไม่สามารถทำอะไรเพื่อปลอบใจท่านได้เหรอ?”

“มีสิ่งหนึ่งที่ท่านทำได้” เธอตอบ “นั่นคือห่อตัวท่านไว้ในผ้าห่อศพและนอนลงในหลุมศพ  หากเขาไม่ควรกลับมาจนกว่าจะผ่านไปสามชั่วโมง เขาจะสูญเสียอำนาจเหนือฉัน และถูกบังคับให้ออกไปเร่ร่อนไปที่อื่น”

'ตอนนี้ Jagdschi รู้สึกภาคภูมิใจกับความไว้วางใจที่ได้รับจาก [Pg 331] และห่อตัวเขาไว้ในผ้าห่อศพ และเขาก็เหยียดตัวยาวเต็มที่ในหลุมศพ  หลังจากนั้นไม่นาน Baldschi ก็มาถึงตาของเขา และพบว่าผู้หญิงคนนั้นคร่ำครวญและคร่ำครวญ  เธอบอกเขาว่าพ่อของเธอเคยเป็นพ่อมด และในกรณีที่เป็นไปได้มาก เขาควรจะปรารถนาที่จะออกจากหลุมศพของเขาและมาทำสิ่งชั่วร้ายกับเธอ Baldschi จะต้องเอาก้อนหินมาและพร้อมที่จะบดขยี้หัวของเขา ถ้าเขาแสดงอาการเคลื่อนไหว

'Baldschi หลงใหลในความสามารถที่จะให้บริการผู้หญิงของเขาได้หยิบหินขึ้นมาและนั่งลงข้างหลุมศพที่ Jagdschi นอนอยู่

ขณะเดียวกันก็ถึงเวลาที่ Firedschi คุ้นเคยกับการแสดงความเคารพ และในกรณีของอีกสองคน เขาก็พบว่าหญิงสาวคนนั้นเต็มไปด้วยความคับข้องใจ  เธอเล่าให้เขาฟังว่าพ่อมดที่เป็นศัตรูกับพ่อของเธอได้โยนคนตายออกจากหลุมศพและเข้ามาแทนที่เขา  “แต่” เธอกล่าวเสริม “ถ้าท่านสามารถนำพ่อมดมาปรากฏต่อหน้าฉันได้ พลังทั้งหมดของเขาก็จะหมดไปจากเขา  ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็หลงทางแล้ว”

“โอ้ ท่านผู้หญิง มีอะไรที่ฉันจะไม่ทำเพื่อท่าน!”  Firedschi ร้องไห้;  แล้ววิ่งลงไปที่หลุมศพ คว้าเอว Jagdschi ที่ประหลาดใจ แล้วเหวี่ยงศพพาดไหล่แล้วรีบเข้าไปในบ้านพร้อมกับเขา  ในตอนแรก Baldschi รู้สึกประหลาดใจมากกับเหตุการณ์พลิกผันนี้ ซึ่งหญิงสาวไม่ได้เตรียมเขาไว้ เขาจึงนั่งนิ่งและไม่ทำอะไรเลย  แต่ผ่านไปแล้วๆ เขาก็ลุกขึ้นและกรีดร้องก้อนหินตามร่างทั้งสองที่กำลังบินอยู่ โดยหวังว่ามันจะฆ่าพวกเขาทั้งสองคน  โชคดีที่มันไม่ได้แตะเลย และในไม่ช้าทั้งสามก็อยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น  จากนั้น Jagdschi คิดว่าเขาได้ช่วยเธอให้พ้นจากอำนาจของพ่อมดแล้ว จึงเลื่อนออกจากด้านหลังของ Firedschi และโยนผ้าห่อศพไปจากเขา

“บอกฉันหน่อย เจ้าชายของฉัน” นกไนติงเกลพูดเมื่อเขาเล่าเรื่องของเขาจบแล้ว “ชายคนไหนในสามคนที่สมควรจะชนะใจผู้หญิงคนนั้น”  ตัวฉันเองควรเลือก Firedschi'

“ไม่ ไม่” เจ้าชายตอบ ผู้ซึ่งเข้าใจการขยิบตาที่นกมอบให้เขา  'บัลด์ชิคือคนที่ก่อปัญหามากที่สุด และแน่นอนว่าเขาคือคนที่สมควรได้รับผู้หญิงคนนั้น'

แต่นกไนติงเกลกลับไม่ยอม  และพวกเขาก็เริ่มทะเลาะกันจนมีเสียงที่สามดังขึ้น:

“ท่านพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้ยังไง” เจ้าหญิงร้อง - และในขณะที่เธอพูดก็ได้ยินเสียงน้ำตาไหล  'ทำไม ท่านไม่เคยแม้แต่จะคิดถึง Jagdschi ผู้ซึ่งนอนอยู่ในหลุมศพเป็นเวลาสามชั่วโมงโดยมีก้อนหินวางอยู่บนหัวของเขา!  แน่นอนว่าเป็นเขาที่หญิงสาวเลือกให้เป็นสามีของเธอ!'

ไม่กี่นาทีก่อนที่ข่าวจะไปถึงสุลต่าน  แต่ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมแต่งงานจนกว่าลูกสาวของเขาจะพูดเป็นครั้งที่สาม  เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มจึงปรึกษากับนกไนติงเกลว่าควรทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ นกไนติงเกลจึงบอกเขาว่า ขณะที่เจ้าหญิงโกรธมากที่ตกลงไปในบ่วงดักเธอ ก็สั่งให้หักเสาออกเป็นชิ้นๆ จะต้องซ่อนเขาไว้ในม่านที่ห้อยอยู่ริมประตู

เย็นวันรุ่งขึ้น เจ้าชายก็เข้าไปในวัง และเดินอย่างกล้าหาญไปยังห้องของเจ้าหญิง  ขณะที่เขาเข้าไปในนกไนติงเกลก็บินออกมาจากใต้วงแขนของเขาและเกาะตัวอยู่บนประตูซึ่งเขาถูกปกปิดไว้ทั้งหมดด้วยรอยพับของม่านมืด  ชายหนุ่มพูดกับเจ้าหญิงตามปกติโดยไม่ได้รับคำตอบแม้แต่คำเดียว และสุดท้ายเขาก็ปล่อยให้เธอนอนอยู่ใต้กองผ้าคลุมที่ส่องแสงซึ่งปัจจุบันเช่าอยู่หลายแห่ง และข้ามห้องไปที่ประตู ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ซึ่งตอบเขาด้วยความยินดี

ทั้งสองพูดคุยกันสักพักหนึ่ง นกไนติงเกลถามว่าเจ้าชายชอบนิทานหรือไม่ เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ยินเรื่องหนึ่งซึ่งสนใจและทำให้เขางุนงงเป็นอย่างมาก  เจ้าชายจึงขอร้องให้ได้ยินทันที และนกไนติงเกลก็เริ่มพูดทันที:

'กาลครั้งหนึ่ง ช่างไม้ ช่างตัดเสื้อ และลูกศิษย์ออกเดินทางออกไปดูโลกด้วยกัน  หลังจากท่องเที่ยวไปทั่ว เป็นเวลาหลายเดือน พวกเขาก็เริ่มเบื่อหน่ายกับการเดินทาง และตัดสินใจที่จะพักและพักผ่อนในเมืองเล็กๆ ที่พวกเขาจินตนาการไว้  ดังนั้นพวกเขาจึงจ้างบ้านหลังเล็กๆ และมองหางานทำ กลับมาตอนพระอาทิตย์ตกเพื่อสูบบุหรี่และพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น

“คืนหนึ่งกลางฤดูร้อนอากาศร้อนกว่าปกติ ช่างไม้พบว่าตัวเองนอนไม่หลับ  แทนที่จะทิ้งตัวลงบนเบาะ ทำให้ตัวเองอึดอัดมากขึ้นกว่าเดิม ชายคนนั้นกลับลุกขึ้นมาดื่มกาแฟและจุดท่อยาวของเขาอย่างชาญฉลาด  ทันใดนั้นสายตาของเขาไปสะดุดกับเศษไม้ตรงมุมห้อง และด้วยนิ้วมือที่ฉลาดมาก ในไม่ช้าเขาก็สร้างรูปปั้นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบสี่ปีที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้  เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจและสงบลงจนรู้สึกง่วงและหลับไปอย่างสนิทสนม

'แต่ช่างไม้ไม่ใช่คนเดียวที่นอนไม่หลับในคืนนั้น  ฟ้าร้องลอยอยู่ในอากาศ และช่างตัดเสื้อก็เริ่มกระสับกระส่ายจนคิดว่าจะลงไปชั้นล่างและทำให้เท้าเย็นลงที่น้ำพุเล็กๆ นอกประตูสวน  เพื่อจะไปถึงประตูเขาต้องผ่านห้องที่ช่างไม้นั่งอยู่และสูบบุหรี่ และยืนอยู่กับสาวสวยยืนอยู่กับผนัง  เขายืนพูดไม่ออกครู่หนึ่งก่อนที่จะกล้าที่จะสัมผัสมือของเธอ เมื่อเขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเธอถูกสร้างขึ้นจากไม้

"อา!  ฉันสามารถทำให้ท่านสวยขึ้นได้” เขากล่าว  แล้วหยิบม้วนผ้าไหมสีเหลืองที่ซื้อมาจากพ่อค้าในวันนั้นมาจากชั้น แล้วตัด คลุม เย็บ จนมีเสื้อคลุมอันสวยงามคลุมร่างเรียวยาวไว้  เมื่อสิ่งนี้จบลง ความกระวนกระวายใจก็พรากไปจากเขา และเขาก็กลับไปนอนต่อ

เมื่อรุ่งสางใกล้เข้ามา นักศึกษาก็ลุกขึ้นและเตรียมพร้อมที่จะไปมัสยิดพร้อมกับแสงแรกแห่งแสงแดด  แต่เมื่อเห็นหญิงสาวยืนอยู่ที่นั่น เขาก็คุกเข่าลง ยกมือขึ้นด้วยความปีติยินดี

“โอ้ เจ้างดงามยิ่งกว่าอากาศยามเย็น ประดับด้วยความงามของดวงดาวนับหมื่นดวง” เขาพึมพำกับตัวเอง  “แน่นอนว่ารูปแบบที่หายากนั้นไม่เคยมีความหมายที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากวิญญาณ”  ทันใดนั้นเขาก็อธิษฐานอย่างสุดกำลังขอให้ชีวิตหายใจเข้าไปในนั้น

'และได้ยินคำอธิษฐานของเขา และรูปปั้นที่สวยงามนั้นก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ และชายทั้งสามก็ตกหลุมรักเธอ และแต่ละคนก็ปรารถนาที่จะให้เธอเป็นภรรยา

“เอาล่ะ” นกไนติงเกลพูด “จริงๆ แล้วหญิงสาวคนนั้นเป็นของใครในพวกเขา?  สำหรับฉันดูเหมือนว่าช่างไม้มีสิทธิ์ที่ดีที่สุดสำหรับเธอ'

“โอ้ แต่นักเรียนคงไม่เคยคิดที่จะอธิษฐานขอให้เธอได้รับดวงวิญญาณ ถ้าช่างตัดเสื้อไม่ดึงความสนใจไปที่ความน่ารักของเธอด้วยเสื้อคลุมที่เขาสวมให้เธอ” เจ้าชายตอบโดยคาดเดาสิ่งที่เขาคาดหวังจะพูด : และในไม่ช้าพวกเขาก็ทะเลาะกันค่อนข้างมาก  ทันใดนั้น เจ้าหญิงโกรธมากที่ทั้งสองคนพาดพิงถึงบทที่นักเรียนคนนั้นแสดง จึงเลิกลืมคำสาบานของเธอและร้องเสียงดัง:

'แสนเขลาที่ท่านเป็น!  เธอเป็นของใครก็ได้นอกจากนักเรียนได้ยังไง?  ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ทุกสิ่งที่คนอื่นทำก็คงสูญเปล่า!  แน่นอนว่าเป็นเขาที่แต่งงานกับหญิงสาวคนนั้น!' และในขณะที่เธอพูด ผ้าคลุมทั้งเจ็ดก็หลุดจากเธอ และเธอก็ลุกขึ้นยืน เจ้าหญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็นมา

“ท่านชนะฉันแล้ว” เธอพูดพร้อมยิ้มและยื่นมือไปหาเจ้าชาย

ทั้งสองจึงได้แต่งงานกัน หลังจากงานอภิเษกจบแล้ว พวกเขาจึงส่งหญิงชราซึ่งเจ้าชายได้ทำลายเหยือกของเขาไปเมื่อนานมาแล้ว และนางก็ประทับอยู่ในวัง เป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ลูกหลาน และอยู่อย่างเป็นสุขจนสิ้นพระชนม์

The princess stands, free of the curse

The prince reclines, listening, as the princess speaks

(ดัดแปลงมาจาก Türkische Volksmärchen aus Stambul gesammelt, übersetzt und eingeleitet von Dr. Ignaz Künos. Brill, Leiden.)



เส้นแนวนอน
-- THE END –

กันท้ายเรื่อง .. พ่วงเรื่อง Covid-19 。∴☆*


จะบอกว่า.. ช่วงนี้เรายังอยู่ในช่วงสภาวะ Covid -19 ระบาดไม่เลิกรานะคะ แถมยังคิดค้นหายาต้านไม่ได้ ดังนั้น เราทุกคนยังต้องรักษาระยะห่างระหว่างคู่รักกันอยู่ค่ะ .. และ .. โปรดจำให้ขึ้นใจ .. ว่า .. กับนิยายใต้เรื่องเหล่านี้มันถูกสร้างขึ้นมาในแบบเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อย ที่ไม่ได้มีสาระมากพอจะไปอ้างอิงกับสิ่งใดได้เช่นเคยนะคะ และเพราะเนื้อหาการนำเสนอ จุดประสงค์ที่สร้างมาก็เพื่อให้อ่านกันเพลินๆ มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีอยู่จริง หรือเกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด มันเป็นเพียงเรื่องที่สมมุติขึ้นมาไว้ใช้สำหรับนั่งอ่าน นอนอ่านกันในวันว่างๆ เท่านั้นค่ะ

ฉะนั้นจึงแน่ใจได้เถอะว่า ฉากบางฉากจึงเป็นเรื่องเล่าโลดโผน จนยากที่จะมามัวมองหาความสมเหตุสมผลใดได้ ยิ่งเพราะบางตอนที่เทียบกับใน 'ยุคสมัยโควิด-19 นี้' มันจึงแทบถือได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องเล่า Fantasy พิสดารเกินกว่าจะเกิดขึ้นจริงนะคะ เพราะเราต้องยอมรับให้ได้ว่าเชื้อไวรัสตัวนี้มันได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์เราแล้วค่ะ แหะๆ .. (หัวเราะแห้ง) เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าไปทดลองเล่นแผลงๆ กันนะคะ .. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เชื้อไวรัสโควิดติดกันได้ง่ายแม้เพียงลมหายใจ แถมยังจะโรคใหม่ที่อุบัติขึ้นอีกมากมาย ที่ต่อให้ป้องกันอย่างไรแต่ถ้าไปสัมผัสคนมีเชื้อก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน (อันนี้จริงจัง โปรดระวังด้วยค่ะ)

อนึ่ง ที่นักเขียนจำเป็นต้องแจ้งชี้แจงเอาไว้ ณ ตรงนี้ก็เพราะเกรงว่าเผื่อบางทีจะมีนักอ่านท่านใดที่เข้าใจอะไรยากพลัดหลงผ่านเข้ามา 

จึงมิได้มีเจตนาติติงผู้ใดเลยจริงๆ 

รักเช่นเดิม..เพิ่มเติมความห่วงใย .. จาก .. ' ก็ ณ ก่อนนั้น ' : writer ..

เส้นแนวนอน 

อย่าลืมติดตามผลงานใหม่ๆ ได้ที่ website นิยายใต้หมอน ของ 'แมงมุมใต้เตียง' นะคะ

https://sites.google.com/view/kor-na-konnan

เทพนิยาย นิทาน นิทานคลาสสิก



วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เทพนิยาย: จอมใจจอมอสูร | Beauty and the Beast

เส้นแนวนอน

จอมใจจอมอสูร

Beauty and the Beast


โดย
 มารี เลอ แพร็งซ์ เดอ โบมงต์
 ด้วยการแสดงความเคารพของผู้เขียน
เส้นแนวนอน

คุยกันก่อนอ่าน

เทพนิยายเรื่องนี้มีบางส่วนที่เป็นไปในแนวโรมานซ์แฟนตาซีที่บางเนื้อหาหรือบางบริบทอาจจะบรรยายร้อนแรงเกินมาตรฐานที่หลายคนคุ้นเคย แต่ก็ยังคงเป็นงานวรรณกรรม ในหมวดหมู่นิทาน, ตำนาน, นิยาย จึงไม่มีอันตรายต่อสัตว์หรือคน สำหรับชื่อ บุคลิกของตัวละคร สถานที่ และเหตุการณ์ที่อาจจะปรากฏอยู่ในเรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดจากจินตนาการ การสมมุติและการเติมต่อของผู้ปรับแปลผลงานบ้างบางส่วน

ติดตามกันบนโซเชียลมีเดียเพื่อรับข่าวสารล่าสุด!

Instagram: @niyayzap

Facebook: @NiyayZAP

Youtube: @niyay-romance-official

🍁 ⍣⍣⍣ ราคาบน Apple อาจจะแตกต่างกันมาก แนะนำให้คุณนักอ่านเลือกโหลดผ่านทาง web 'MEBmarket' ที่นั่นคุณจะได้ราคาที่น่ารักกว่าและสามารถอ่านนิยายผ่าน Application ได้ตามปกติเหมือนเดิมนะคะ ⍣⍣⍣ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกโหลดค่ะ 🍁

เส้นแนวนอน

“สำหรับส่วนของพวกเรานั้น 

ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับใครก็ตาม

ที่ตำแหน่งฐานะอยู่ต่ำไปกว่าท่านดยุค 

หรือใต้ฐานะของท่านเอิร์ล … นั่นคืออย่างน้อย” 

ความร่ำรวย ความมั่งคั่ง ความโอ่อ่าเป็นลาภอันประเสริฐ .. 

อย่างที่ทราบกันดีว่าพ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายนั้นปรารถนาจะได้ภรรยาที่ร่ำรวยเสมอกัน

แต่คำกล่าวข้างบนทั้งหมดนั่น นี่คือคำพูดของบุตรสาวคนโตแสนสวยหัวสูงของพ่อค้ามหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดของอาณาจักรอันรุ่งโรจน์แห่งนี้มักจะพูด … ซึ่งแน่นอนว่า เบลล์ หรือบุตรสาวคนสุดท้องที่งดงามยิ่งกว่าพี่ๆ ทั้งสองและเธอเองนั้นก็มีชายหนุ่มผู้ปรารถนาและมีข้อเสนอมากพอๆ กับพี่สาวทั้งคู่ แต่เธอมักจะตอบด้วยความสุภาพที่สุดว่า 

“ถึงแม้ข้าจะผูกพันกับคนรักมาก 

แต่ข้าก็อยากจะอยู่กับบิดานานขึ้นอีกสองสามปี

เพราะข้าคิดว่าตัวเองเด็กเกินไปที่จะแต่งงาน”

::::::::::::::: ♔ :::::::::::::::



ครั้งหนึ่ง มีพ่อค้าพ่อหม้ายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในคฤหาสน์กับลูกสาวลูกชายของเขาหกคน 

เด็กชายสามคน และเด็กหญิงสามคน … ด้วยความที่พ่อค้าเป็นผู้ที่มีเหตุมีผล เขาจึงไม่ละเลยการศึกษาของลูกหลานของเขา และได้มอบปรมาจารย์ทุกแขนงศาสตร์ให้แก่พวกเขาทุกคน

ลูกสาวของเขาทุกคนนั้นสวยมาก แต่น้องคนสุดท้องสวยที่สุด เมื่อเธอยังเด็ก ทุกคนต่างชื่นชมเธอและเรียกเธอว่า 'โฉมงามตัวน้อย' จนเมื่อเธอโตขึ้นเธอยังใช้ชื่อ เบลล์ (Belle) ซึ่งแปลว่า 'โฉมงาม' ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งทำให้พี่สาวของเธออิจฉามาก และเพราะว่าเธอเป็นเด็กที่มีเป็นเด็กที่มีน่ารักที่สุด ใจดี บริสุทธิ์ใจ ชอบอ่านหนังสือ ขณะที่นิสัยของพี่สาวของเธอนั้นโหดเหี้ยม เห็นแก่ตัว นิสัยเสีย และไร้ประโยชน์ 

คนโตสองคนนั้นไร้สาระ และมีความภาคภูมิใจอย่างมากเพราะพวกเธอร่ำรวย พวกเขาจึงเปล่าประโยชน์จากความมั่งคั่งและฐานะของพวกเธอที่ต่างตั้งราคาตัวเองไว้สูงส่งสักหนึ่งพันเท่าและปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมลูกสาวของพ่อค้าคนอื่นๆ ที่พวกเธอมักจะหัวเราะเยาะดูถูกเหยียดหยาม ยกเว้นไว้กับบุคคลที่มีคุณภาพหรือมีฐานะสูงส่งพอๆ กับพวกเธอ พวกเธอออกไปงานเลี้ยง ปาร์ตี้ ละคร คอนเสิร์ต และเดินเล่นเตร็ดเตร่สนุกสนานในที่สาธารณะทุกวัน และพวกเธอก็หัวเราะเยาะน้องสาวสุดท้องที่ชอบใช้เวลาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านหนังสือดีๆ หรือทำงานที่มีประโยชน์อื่นๆ

เป็นที่ทราบกันดีว่าหญิงสาวเหล่านี้จะมีโชคลาภมากมาย พ่อค้าที่มีชื่อเสียงผู้ยิ่งใหญ่หลายคนจึงปรารถนาจะได้มาเป็นภรรยา แต่คนโตสองคนตอบเสมอว่า 

“จะไม่มีวันแต่งงาน..เว้นแต่จะได้พบกับดยุค หรืออย่างน้อยเอิร์ลสำหรับส่วนของพวกเรา”

ส่วนเบลล์มีข้อเสนอมากพอๆ กับพี่สาวของเธอ แต่เธอมักจะตอบด้วยความสุภาพที่สุดว่า 

“ถึงแม้ข้าจะผูกพันกับคนรักมาก แต่ข้าก็อยากจะอยู่กับท่านพ่อนานขึ้นอีกหลายปี เพราะข้าคิดว่าตัวเองเด็กเกินไปที่จะแต่งงาน”

แต่แล้วในที่สุดวันหนึ่ง พ่อค้าผู้มั่งมีผู้นั้นก็ได้สูญเสียทรัพย์หลวงใหญ่ที่เขามีในคืนที่มืดมิดและมีพายุกลางทะเลหลวง กองเรือของเขาถูกนอกจากจะถูกโจรสลัดดักปล้นแล้วพายุก็ยังได้จมกองเรือสินค้าส่วนใหญ่ของเขาไปจนหมด พ่อค้าผู้สูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาไปโดยฉับพลัน และไม่มีอะไรเหลือเลยนอกจากกระท่อมเล็กๆ ในชนบท ด้วยความโชคร้ายของเขาครั้งนั้นทำให้เขากับลูกทั้งสามต้องย้ายที่พักอาศัยไปอยู่แถบชนบทและทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ 

เขาก็พูดกับลูกสาวของเขาในขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้มว่า

“ลูกๆ ของข้า ตอนนี้เราต้องไปอาศัยอยู่ในกระท่อมและพยายามหาเลี้ยงชีพด้วยแรงงานเพราะเราไม่มีทางช่วยเหลืออื่นได้”

คนโตสองคนตอบว่า

“เราทำงานไม่เป็นและจะไม่ออกจากเมืองไปไหน เพราะเราทั้งสองมีคนรักมากพอที่ยินดีจะแต่งงานกับพวกเราทั้งคู่ แม้ว่าเราจะไม่มีโชคเหมือนเดิมที่เป็นมาแล้วก็ตาม ท่านพ่อ”

แต่ในเรื่องนี้พวกเธอคิดผิด เมื่อคู่รักได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นและพวกเขาก็พูดว่า;

“พวกนางไม่สมควรได้รับความสงสาร สาวๆ หยิ่งผยองและอารมณ์ไม่ดี ที่เราต้องการคือโชคลาภ เราไม่เสียใจที่เห็นความเย่อหยิ่งของพวกนางลดลง ปล่อยพวกนางไปและให้อากาศที่ดี และคุณภาพในการรีดนมวัวและดูแลโคนมของพวกนางเอง” 

แต่สำหรับเบลล์ผู้น่าสงสาร ผู้ที่มีจิตใจที่อ่อนหวานและใจดีต่อทุกคน จึงมีแต่คนพูดว่า;

“แต่เราเป็นห่วงเบลล์เป็นอย่างมาก นางเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเสน่ห์และอารมณ์ดี พูดจาอ่อนโยนกับคนยากจน และมีพฤติกรรมที่เป็นมิตรและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่”

มีสุภาพบุรุษหลายคนเสนอที่จะแต่งงานกับเธอ แม้ว่าเธอจะไม่มีเงินสักบาทเดียว แต่เบลล์ยังคงปฏิเสธ และบอกว่าเธอไม่คิดว่าจะทิ้งพ่อที่น่าสงสารของเธอไว้ในปัญหา และแม้ว่าในตอนแรกเบลล์เองก็อดไม่ได้ที่ในบางครั้งต้องแอบร้องไห้อย่างลับๆ เกี่ยวกับความยากลำบากที่เธอต้องทนทุกข์ในตอนนี้ แต่ในเวลาอันสั้น 

“แต่ .. ถ้าข้าร้องไห้มากขนาดนี้มันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก ดังนั้นข้าจะพยายามมีความสุขโดยปราศจากโชคลาภ”

ขณะที่เบลล์ลงมติอย่างแน่วแน่ในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในชนบทด้วยความร่าเริงแจ่มใส แต่สำหรับพี่สาวของเธอกลับไม่เข้าใจ และคิดว่าความแน่วแน่ของเธอเป็นเหตุให้ไม่เบลล์รู้สึกตัว จึงบังคับให้เธอทำงานบ้านรวมถึงให้เธอพยายามหาเงินให้เพียงพอเพื่อซื้อบ้านเก่าของพวกเขากลับคืนมา

เมื่อพวกเขาออกไปที่กระท่อมของพวกเขาแล้ว พ่อค้าและบุตรชายทั้งสามของเขาก็ประกอบอาชีพไถและหว่านเมล็ดข้าวในทุ่งนา และทำงานในสวน เบลล์ก็ทำหน้าที่ของเธอเช่นกัน เธอตื่นนอนตอนตีสี่ทุกเช้า จุดไฟ ทำความสะอาดบ้าน และเตรียมอาหารเช้าสำหรับทั้งครอบครัว ในตอนแรกเธอพบว่ามันยากมาก เพราะเธอไม่เคยทำงานเป็นทาสมาก่อน แต่ในไม่ช้าเธอก็ชินกับมัน และคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไร อันที่จริง งานนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพของเธอ เมื่อทำเสร็จแล้ว เธอเคยชอบอ่านหนังสือ เล่นดนตรี หรือร้องเพลงขณะปั่น 

ตรงกันข้าม พี่สาวสองคนของเธอกำลังสูญเสียสิ่งที่จะทำโดยไม่รู้ว่าจะใช้เวลาของพวกเธออย่างไร: พวกเธอรับประทานอาหารเช้าบนเตียงและจะไม่ตื่นจนถึงสิบโมง ไม่ทำอะไรเลยนอกจากเดินเล่นทั้งวัน แต่ก็พบว่าตัวเองเหนื่อยมาก เมื่อพวกเธอนั่งลงใต้ต้นไม้ที่ร่มรื่นก็มักจะคร่ำครวญถึงการสูญเสียรถม้า เสียใจกับการสูญเสียเสื้อผ้าเครื่องประดับชั้นดี และคนรู้จักของพวกเธอ

“อย่าไปเห็นน้องสาวคนเล็กของเราเลย” พวกเธอพูดต่อกัน “นางเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสาร โง่เขลา ใจร้าย ที่จะพอใจกับสถานการณ์ที่น่าหดหู่เช่นนี้

แต่พ่อของพวกเขาคิดต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง: และรักและชื่นชมลูกคนเล็กของเขามากขึ้นกว่าเดิม

พ่อค้าที่ดีรู้ดีว่าความงามส่องประกายให้น้องสาวของพวกเธอ ทั้งในตัวตนและจิตใจของเธอ และชื่นชมความถ่อมตนและอุตสาห์ของเธอ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอดทนของเธอ เพราะพี่สาวของเธอไม่เพียงแต่ละทิ้งงานบ้านทั้งหมดให้เธอทำ แต่ยังดูถูกเธอทุกขณะ

หลังจากการอาศัยอยู่กับความลำบากผ่านมาเป็นปีๆ เช่นนี้แล้ว พ่อค้าได้รับจดหมายแจ้งว่าเรือที่ร่ำรวยที่สุดลำหนึ่งของเขาซึ่งเขาคิดว่าหายไปเพิ่งมาถึงท่าเรือ ดังนั้นพ่อค้าผู้นั้นได้ตัดสินใจว่าเขาจะไปดูในเมืองว่าเรือลำนี้ยังมีอะไรเหลือพอให้เขาและลูกบ้าง ก่อนออกเดินทางเขาก็ได้ถามลูกๆ ทุกคนว่าพวกเขาต้องการให้เขานำของขวัญกลับมาให้พวกเขาหรือไม่ ทำให้พี่สาวคนโตสองคนแทบคลั่งด้วยความดีใจ ซึ่งยกยอตนเองด้วยความหวังว่าจะได้กลับเมืองในทันที พวกเขาค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตในชนบท พวกเขาคิดว่าควรออกจากกระท่อมแล้วไปทำเครื่องเรือนใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง เมื่อพวกเขาพบว่าพ่อของพวกเขาต้องเดินทางไปที่เรือ คนโตสองคนขอร้องว่าเขาจะไม่ล้มเหลวที่จะนำเสื้อคลุม หมวก แหวน และเครื่องประดับเล็กๆ ชิ้นใหม่มาให้ ลูกชายขออาวุธและม้าเพื่อล่าสัตว์ แต่เบลล์ไม่ขออะไรเลยเพราะเธอคิดในใจว่าเงินทั้งหมดที่พ่อของเธอจะได้รับนั้นไม่เพียงพอที่จะซื้อทุกอย่างที่พี่สาวของเธอปรารถนาได้ ซึ่งในขณะที่ลูกสาวคนโตขอเพชรพลอยและเสื้อผ้าชั้นดีเพราะคิดว่าความมั่งคั่งของพวกเขาได้กลับมาแล้ว แต่เบลล์กลับไม่ได้ขออะไรนอกจากความปลอดภัยของพ่อ

“เบลล์” พ่อค้ากล่าว “ทำไมเจ้าไม่ขอสิ่งใดเลย แล้วข้าจะเอาอะไรมาให้เจ้าได้ ลูกเอ๋ย”

แต่เมื่อบิดายังยืนกรานที่จะซื้อของขวัญให้เธอ เธอก็พอใจกับดอกกุหลาบเพียงดอกเดียว

“ในเมื่อท่านพ่อใจดีเหลือเกินที่นึกถึงข้า ท่านพ่อที่รัก” เธอตอบ “กรุณานำดอกกุหลาบมาให้ข้าด้วย เพราะไม่มีใครเติบโตที่นี่ในฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว พวกมันจึงหายาก” 

ไม่ใช่ว่าบิวตี้สนใจดอกกุหลาบหรือสิ่งอื่นใดเลย แต่เธอต้องขออะไรบางอย่างเพียงเพื่อว่าจะได้ไม่เป็นการดูหมิ่นพี่สาวของเธอ มิฉะนั้นพวกเขาจะบอกว่าเธอต้องการให้พ่อของเธอชมเชยเธอที่ไม่ปรารถนาสิ่งใด

พ่อค้าลาจากพวกเขาแล้วออกเดินทาง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาไปถึงเรือ ก็มีคนไปแจ้งความกับเขาเกี่ยวกับสินค้านั้น ด้วยความตกใจและต้องได้เจอกับความผิดหวัง เมื่อพ่อค้าพบว่าสินค้าบนเรือถูกยึดไปหมดแล้วเพื่อชำระหนี้ ทำให้เขาหมดเงินและไม่สามารถซื้อของขวัญให้ลูกของเขาได้เลยสักชิ้น และหลังจากมีปัญหามามาก เขาก็กลับมายังกระท่อมของเขาที่ยากจนพอๆ กับที่ทิ้งมันไว้ เมื่อเขาอยู่ห่างจากบ้านไม่เกินสามสิบไมล์ และนึกถึงความสุขที่ได้เจอลูกๆ อีกครั้ง เขาก็หลงทาง ท่ามกลางป่าทึบ ฝนตกและหิมะตกหนักมาก นอกจากนั้น ลมยังแรงมากจนต้องเหวี่ยงเขาลงจากหลังม้าถึงสองครั้ง 

กลางคืนมาถึงและเขากลัวว่าเขาจะตายด้วยความหนาวเย็นและความหิวโหยหรือถูกหมาป่าฉีกเป็นชิ้นๆ ที่เขาได้ยินเสียงพวกมันหอนอยู่รอบๆ ตัว ทันใดนั้น เมื่อมองผ่านทางเดินอันยาวไกลของต้นไม้เขาก็เห็นแสงสว่างที่ปลายสาย และดูเหมือนเป็นทางออกที่ดี เขาใช้ทางที่ดีที่สุดไปยังมันและพบว่ามันมาจากวังอันวิจิตร ซึ่งหน้าต่างทั้งหมดก็สว่างไสวไปด้วยแสงจากบนลงล่าง พ่อค้าขอบคุณพระเจ้าสำหรับการค้นพบที่มีความสุขนี้ และรีบไปที่สถานที่นั้น ที่มีประตูทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านยืนเปิดกว้างและลานกว้างหลายสิบหลาซึ่งพ่อค้าเดินผ่านไป และก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่ไม่ได้พบกับใครในสนามด้านนอก

ม้าของเขาตามเขาไป และพบคอกขนาดใหญ่ที่เปิดเข้าไปจะพบว่ามีทั้งหญ้าแห้งและข้าวโอ๊ต ซึ่งม้าน่าสงสารที่หิวโหยและกระหายของเขาก็ไม่ค่อยระมัดระวังตัวเท่าเจ้านายของมัน มันก้มลงกินอาหารที่มีอย่างล้นเหลือ จากนั้นพ่อค้าจึงผูกมันไว้กับรางหญ้า แล้วเดินไปที่บ้านซึ่งเขาไม่เห็นใครเลย 

เข้าไปที่ห้องอาหารขนาดใหญ่ซึ่งเขาพบว่ามีกองไฟลุกโชนที่เตาผิงและมีจานอาหานที่น่าอร่อยมาก แต่มีจานเดียวที่มีมีดและส้อม เมื่อหิมะและฝนทำให้เขาเปียกจนถึงผิวหนัง เขาก็เข้าไปใกล้กองไฟเพื่อทำให้ตัวแห้ง

“ข้าหวังว่า” เขากล่าว “เจ้าของบ้านหรือคนใช้ของเขาจะยกโทษต่อเสรีภาพที่ข้าใช้ เพราะข้าคิดว่า คงไม่นานข้าจะได้เห็นพวกเขาบางคนปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน” 

เขารออยู่นานแต่ก็ยังไม่มีใครมา: จนกระทั่งนาฬิกาก็ตีสิบเอ็ดโมง และพ่อค้าก็อ่อนเปลี้ยเพราะความหิวจนทนไม่ไว้แล้ว เขาจึงหยิบไก่ไปกินสองคำโตและดื่มไวน์สองสามแก้ว แต่ตัวก็สั่นไปด้วยความกลัวตลอดเวลา 

เขานั่งจนนาฬิกาตีสิบสอง ครั้นแล้วด้วยความกล้าหาญมากขึ้น เขาเริ่มคิดว่าเขาควรลุกไปสำรวจตรวจดูด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงเปิดประตูที่ปลายห้องโถงและเดินผ่านห้องชุดใหญ่ๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์หรูหราหลายห้อง จนกระทั่งเขาเข้ามาในห้องที่โอ่อ่าตระการตาซึ่งมีเตียงนอนอย่างดี และเมื่อเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากและก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว เขาสรุปว่าปิดประตูแล้วเข้านอนดีกว่า ถอดเสื้อผ้าแล้วเข้าไปสู่ข้างใน

กว่าจะตื่นก็สิบโมงเช้า เขาประหลาดใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่สวยงามที่เตรียมไว้สำหรับเขา แทนที่จะเป็นเสื้อผ้าของเขาเอง ซึ่งทั้งหมดขาดวิ้นและยับยุ่ง 

“แน่นอน” เขาพูดกับตัวเอง “ที่แห่งนี้เป็นของนางฟ้าผู้แสนดี ผู้ซึ่งสงสารในความโชคร้ายของข้า” 

เขามองออกไปนอกหน้าต่าง แทนที่จะเป็นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ซึ่งเขาสูญเสียตัวเองไปเมื่อคืนก่อน เขาเห็นซุ้มไม้ที่มีเสน่ห์ที่สุดที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้นานาชนิด จากนั้นเขาก็กลับไปที่ห้องโถงใหญ่ซึ่งเขาทานอาหารเย็นเมื่อคืนก่อน และพบช็อกโกแลตที่ทำเสร็จแล้วบนโต๊ะเล็กๆ 

“ขอบคุณมาก นางฟ้าผู้ใจดีของข้า” พ่อค้าพูดเสียงดัง “ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านอย่างมากสำหรับความกรุณาของท่านที่ดูแลข้า” 

จากนั้นเขาก็กินอาหารเช้ามากมาย หยิบหมวก แล้วไปที่คอกม้าเพื่อไปดูแลม้า แต่ในขณะที่เขาเดินผ่านใต้ซุ้มไม้แห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยดอกกุหลาบ เขานึกถึงสิ่งที่เบลล์ขอให้เขานำกลับมาหาเธอ ดังนั้นเขาจึงหยิบกุหลาบช่อหนึ่งเพื่อจะนำกลับบ้าน 

ในขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงดัง และเห็นสัตว์ร้ายที่น่าสยดสยองเข้ามาหาเขา เขาก็พร้อมที่จะเป็นลมด้วยความกลัวเป็นหมาป่าสีขาวที่พรั่นพรึงเมื่อมองดู ซึ่งทำให้พ่อค้ารู้เลยทันทีว่าดอกกุหลาบคือสิ่งที่อสูรรักและหวงมาก 

“เจ้าคนเนรคุณ!” อสูรที่คือหมาป่าสีขาวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันน่าสะพรึงกลัว "ข้าได้ช่วยชีวิตเจ้าโดยยอมรับเจ้าเข้าไปในวังของข้า และในทางกลับกัน เจ้าขโมยดอกกุหลาบของข้า ซึ่งข้าให้คุณค่าเหนือสิ่งอื่นใดในจักรวาล แต่เจ้าจะต้องชดใช้ความผิดของเจ้า เจ้าจะตายในหนึ่งส่วนสี่ของชั่วโมง เตรียมตัวและกล่าวคำอธิษฐานของเจ้าซะ” 

"อสูร" ที่น่ากลัวซึ่งเตือนเขาว่าการขโมยทรัพย์สินของเขามีโทษถึงประหารชีวิต แต่เขาตัดสินใจว่าจะลงโทษการกระทำของพ่อค้าด้วยการขังพ่อค้าโดยไม่มีวันปล่อย เพราะเมื่อพ่อค้าตระหนักถึงความผิดพลาดร้ายแรงของเขา เขาจึงขอร้องอิสรภาพกับอสูรโดยบอกว่าที่เขาทำลงไปเพราะต้องการจะนำพวกมันไปมอบเป็นของขวัญให้ลูกสาวคนเล็กเท่านั้น เขาคุกเข่าลงประสานมือและกล่าวว่า

"ท่านเจ้าข้า ขอประทานอภัยโทษด้วย ข้าพเจ้าไม่คิดว่าท่านจะขุ่นเคืองใจที่ข้าจะเก็บดอกกุหลาบนำไปให้ลูกสาวคนหนึ่งของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งวิงวอนให้ข้าพเจ้าพามันกลับบ้านไปให้นาง อย่าฆ่าข้าพเจ้าเลยท่านลอร์ด!”

"ข้าไม่ใช่ลอร์ด แต่เป็นอสูร" หมาป่าสีขาวตอบ “ข้าเกลียดการชมเชยที่เป็นเท็จ: ดังนั้นอย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถเกลี้ยกล่อมข้าด้วยวิธีการดังกล่าว เจ้าบอกข้าว่ามีลูกสาว ตอนนี้ข้าปล่อยให้เจ้าแคล้วคลาด ถ้าหนึ่งในนั้นต้องมาตายแทนเจ้า ถ้านางไม่ จงสาบานว่าเจ้าจะกลับมาภายในสามเดือนเพื่อประสงค์ของข้าเอง”

เมื่อฟังแล้วอสูรก็ตัดสินใจปล่อยพ่อค้า โดยมีข้อแม้ว่าพ่อค้าจะต้องนำตัวลูกสาวเขามาแทนที่ตนโดยไม่หลอกลวง มิฉะนั้น อสูรจะทำลายทั้งครอบครัวของเขา พ่อค้าผู้มีจิตใจดีเขาไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยให้ลูกสาวคนใดของเขาให้ต้องมาตายเพื่อเห็นแก่เขาได้ แต่เขารู้ว่าถ้าเขาดูเหมือนจะยอมรับเงื่อนไขนี้ของอสูรเอาไว้ก่อนตอนนี้ อย่างน้อยเขาก็ควรจะมีความสุขที่ได้พบลูกๆ ของเขาอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงให้สัญญาและบอกว่าเขาจะออกเดินทางทันทีที่อสูรต้องการ 

“แต่” หมาป่าสีขาวพูด “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ากลับไปมือเปล่า ไปที่ห้องที่เจ้านอนแล้วเจ้าจะพบหีบที่นั่น เติมสิ่งที่เจ้าชอบที่สุดแล้วข้าจะเอาไปให้ที่บ้านของเจ้า"

เมื่ออสูรพูดอย่างนี้แล้วเขาก็จากไป 

“ก็นะ” คนดีพูดกับตัวเอง “ถ้าข้าจะต้องตาย ข้าจะได้รับคำปลอบใจที่ทิ้งขนมปังไว้ให้ลูกหลานที่ยากจนของข้า” 

เขากลับไปที่ห้องนอนและพบทองคำจำนวนมหาศาล จึงบรรจุพวกมันลงหีบไว้จนสุดขอบตามที่อสูรกล่าวไว้ ล็อคมัน หลังจากนั้นก็นำม้าของเขาออกจากคอกม้า และขี่มันออกจากวังด้วยความเศร้าโศกเท่าความยินดีที่เขามีในครั้งแรกที่พบเห็นมันเมื่อนก่อนหน้า ม้าตัวนั้นเดินไปทางตามอัธยาศัย เดินไปตามถนนสายหนึ่งในป่า อสูรนั้นส่งเขาขึ้นไปบนหลังม้าวิเศษ เพราะในเวลาไม่กี่ชั่วโมงพวกเขาก็พบว่าตนถึงบ้านแล้ว 

ลูกๆ ของเขาวิ่งเข้ามาหาเขา แต่แทนที่จะจูบลูกด้วยความปิติ พ่อค้าก็อดร้องไห้ไม่ได้เมื่อมองดูพวกเขา เขาถือดอกกุหลาบช่อหนึ่งไว้ในมือซึ่งจะมอบให้กับเบลล์ แล้วพูดว่า 

“เอากุหลาบพวกนี้ไปเถอะ เบลล์; แต่เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าพวกมันมีค่าแค่ไหนที่พ่อที่น่าสงสารของเจ้าต้องเสียไป”

แม้พ่อค้าพยายามซ่อนความลับจากลูกๆ ของเขา แต่เบลล์ก็จับได้ แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้เห็นหรือได้ยินในวังของอสูรนั้นให้พวกเขาฟัง จากนั้นพี่สาวคนโตสองคนเริ่มหลั่งน้ำตา และกล่าวโทษเบลล์ ซึ่งพวกเขากล่าวว่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของบิดาของเธอ 

“เห็นไหม” พวกเธอพูด “เกิดอะไรขึ้นจากความเย่อหยิ่งของเจ้าหมาน้อย ทำไมเจ้าไม่ขอเหมือนที่เราทำ แต่ที่แน่ๆ นางต้องไม่เหมือนคนอื่นๆ และถึงแม้นางจะเป็นต้นเหตุที่จะมองความตายให้แก่บิดาที่น่าสงสารของเรา ถึงกระนั้นก็ตาม นางก็ไม่หลั่งน้ำตา"

“ทำไมข้าต้องร้องไห้” เบลล์ตอบ “มันจะไม่มีประโยชน์ เพราะว่าพ่อของข้าจะไม่ตาย ไม่ต้องทนทุกข์เพราะเรื่องของข้า ในเมื่ออสูรจะยอมรับลูกสาวคนหนึ่งของเขา ข้ายินยอมจะมอบตัวเองให้แทนความโกรธแค้นทั้งหมดของเขา และความสุขมากที่คิดว่าการตายของข้าจะช่วยชีวิตพ่อของข้า ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรักอันอ่อนโยนของข้าที่มีต่อเขาได้ที่ดีที่สุด”

“ไม่ น้องสาว” พี่ชายทั้งสามของเธอพูดเป็นเสียงเดียว “ไม่ใช่อย่างนั้น เราจะไปหาสัตว์ประหลาดและฆ่ามัน หรือไม่ก็พินาศในความพยายามนั้น”

“อย่าจินตนาการถึงเรื่องดังกล่าว ลูกชายของข้า” พ่อค้ากล่าว “พลังของเขานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน จนข้าไม่หวังให้เจ้าจะเอาชนะเขาได้ ข้าหลงเสน่ห์ข้อเสนอที่ใจดีและใจกว้างของเบลล์ แต่ข้าไม่สามารถยอมแพ้ได้ ชีวิตสาวของเบลล์จะไม่ต้องถูกเสียสละ ข้าแก่แล้วและอีกไม่นานที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปนานกว่านี้ ดังนั้นพ่อจะสละชีวิตไม่กี่ปีของพ่อ ซึ่งข้าจะไม่ต้องเสียใจเพราะเพียงเพื่อประโยชน์ของลูกๆ ที่รักของพ่อ”

“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ท่านพ่อ!” เบลล์ร้อง “ถ้าท่านจะกลับไปในวัง ท่านจะขัดขวางไม่ให้ข้าติดตามท่านไปไม่ได้ แม้ว่าข้าจะอายุน้อย แต่ข้าก็ไม่ได้ยึดติดกับชีวิตมากนัก และข้าก็ยอมถูกปีศาจกลืนกินเสียดีกว่ายอมตายเพราะความโศกเศร้าเพื่อการสูญเสียท่านที่จะมอบให้ข้า”

พ่อค้าไร้ประโยชน์ในการพยายามให้เหตุผลกับเบลล์ซึ่งยังคงรักษาจุดประสงค์ของเธออย่างดื้อรั้น ซึ่งทำให้พี่สาวทั้งสองของนางมีความยินดี เพราะพวกเขาอิจฉาเบลล์ที่ทุกคนรักเธอ

พ่อค้ารู้สึกเศร้าใจกับความคิดที่จะสูญเสียลูกสาวของเขาไป โดยที่เขาไม่เคยนึกถึงหีบที่เต็มไปด้วยทองคำ แต่ในตอนกลางคืน มันก็ทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่ามันวางอยู่ข้างเตียงของเขา พ่อค้าไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับความร่ำรวยของเขากับลูกสาวคนโตทั้งสอง เพราะเขารู้ดีว่ามันจะทำให้พวกเธอทั้งคู่ต้องก็การจะกลับเข้าไปในเมืองในทันที แต่เขาบอกความลับของเขาให้เบลล์ฟัง แล้วเธอก็พูดว่า ขณะที่เขาไม่อยู่ มีสุภาพบุรุษสองคนมาเยี่ยมที่กระท่อมของพวกเขา ซึ่งพวกเขาต่างตกหลุมรักพี่สาวสองคนของเธอ เธอวิงวอนให้บิดายินยอมให้มีการแต่งงานและให้โชคลาภแก่พวกเขาโดยไม่ชักช้า เพราะเธอเพียงปรารถนาให้พวกพี่ๆ มีความสุข เพราะเธอรักพวกเขาและให้อภัยการใช้ความชั่วทั้งหมดของพวกเขาอย่างเต็มที่

สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว พ่อค้าและเบลล์ก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปยังวังของอสูร สัตว์ร้ายทั้งสองใช้หัวหอมถูตาเพื่อบีบน้ำตาเมื่อแยกทางกับน้องสาว แต่พี่ชายของเธอร้องไห้อย่างจริงจัง มีเพียงเบลล์เท่านั้นที่ไม่หลั่งน้ำตา เพราะเธอจะไม่ต้องเพิ่มความกระวนกระวายเศร้าโศกใจให้แก่พวกเขา

ม้าเดินตรงไปยังพระราชวัง ที่พวกเขาไปถึงได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง มันสว่างไสวเหมือนในตอนแรก และม้าตัวนั้นก็เข้าไปในคอกม้าเหมือนเดิมโดยไม่ต้องเสนอราคา พ่อค้าและเบลล์เดินไปที่ห้องโถงใหญ่ ที่ซึ่งพวกเขาพบโต๊ะที่เต็มไปด้วยของอร่อยทุกอย่างที่เสิร์ฟอย่างวิจิตรบรรจง และจานสองใบที่เตรียมไว้ พ่อค้ามีความอยากอาหารน้อยมาก แต่เพื่อที่เบลล์จะได้ซ่อนความเศร้าโศกของเธอได้ดีกว่าพยายามทำตัวร่าเริง เธอวางตัวเองที่โต๊ะและช่วยพ่อของเธอ 

“หลังจากนั้น” เธอคิดในใจ “เจ้าสัตว์ร้ายมีจิตใจที่จะขุนข้าก่อนจะกินข้าอย่างแน่นอน เพราะเขาให้ความบันเทิงมากมายเช่นนี้”

จากนั้นเธอก็เริ่มกินและคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเพื่อให้แน่ใจว่า อสูรคงมีความคิดที่จะเลี้ยงเธอก่อนที่เขาจะกินเธอ เพราะเขาให้กล่อมชูใจเธอเป็นอย่างดี และเมื่อทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังก้องและชายชราผู้ใจดีก็เริ่มร้องไห้และบอกลาลูกที่น่าสงสารของเขา ร่ำลา เพราะเขารู้ว่าเป็นอสูรกำลังมาหาพวกเขา เมื่อเบลล์เห็นรูปแบบที่น่าสยดสยองกับรูปร่างอันน่าสะพรึงกลัวอย่างน่าเศร้าเป็นครั้งแรก แม้จะรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก แต่ก็ซ่อนความกลัวไว้โดยพยายามกล้าหาญเท่าที่จะทำได้

สิ่งมีชีวิตนั้นเดินเข้ามาหาเธอและมองเธอไปทั่ว แล้วถามเธอด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวว่าเธอมาอย่างเต็มใจหรือไม่

“ช-- ะ -- ใช่” เบลล์พูด สั่น

“เก่งมาก ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นเด็กดี และข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้ามาก”

นี่เป็นคำตอบทางแพ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่ความกล้าหาญของเบลล์เพิ่มขึ้น แต่มันก็จมลงอีกครั้งเมื่ออสูรพูดกับพ่อค้าต้องการให้เขาออกจากวังในเช้าวันรุ่งขึ้นและไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกหน

“เจ้าเป็นคนดีมาก คนซื่อสัตย์, ไปตามทางของเจ้าพรุ่งนี้เช้า แต่อย่าคิดที่จะกลับมาที่นี่อีกเลย”

“ลาก่อน สัตว์ร้าย” พ่อค้าตอบ

“ราตรีสวัสดิ์ พ่อค้า และราตรีสวัสดิ์ เบลล์”

“ราตรีสวัสดิ์ ท่านอสูร” เธอตอบขณะที่สัตว์ประหลาดออกจากห้อง

“อ๊ะ ลูกที่รักของข้า” พ่อค้าพูด จูบลูกสาวของเขา “ข้าตายไปแล้วครึ่งหนึ่งที่คิดจะต้องทิ้งเจ้าไว้กับอสูรตนนี้ เจ้ากลับไปเถอะ ปล่อยให้ข้าอยู่ในที่ของเจ้า”

“ไม่” เบลล์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ กล้าหาญ “ข้าจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น พรุ่งนี้ท่านต้องกลับบ้านและปล่อยให้ข้าได้ดูแลและคุ้มครองความรอบคอบ”

แล้วทั้งสองก็อวยพรกันให้ฝันดีและเข้านอนโดยทั้งคู่ต่างคิดว่าคงไม่อาจนอนหลับตาได้ลง แต่ทันทีที่พวกเขานอนลง พวกเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราและไม่ตื่นจนถึงเช้า 

แต่แม้กระนั้นเบลล์ก็ยังฝันว่าผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอและพูดว่า 

"ข้ายินดีมาก เบลล์ ด้วยความปรารถนาดีและด้วยความดีที่เจ้าแสดงออกมา ในการเต็มใจที่จะสละชีวิตของเจ้าเพื่อรักษาชีวิตของพ่อเจ้าไว้ อย่ากลัวอะไรเลย เจ้าจะไม่สูญเปล่า"

ทันทีที่เบลล์ตื่นขึ้น เธอเล่าความฝันนี้ให้พ่อฟัง แต่ถึงแม้จะให้การปลอบประโลมใจเขาได้บ้าง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้อย่างขมขื่นและอิดออดอยู่นานมากกว่าเขาจะสามารถถูกเกลี้ยกล่อมให้พ้นจากราชวังได้ ในที่สุดเบลล์ก็ประสบความสำเร็จในการพาเขาออกไปอย่างปลอดภัย

และทันทีที่เขาจากไป ไม่อยู่ในสายตา เบลล์ผู้น่าสงสารก็นั่งลงในห้องโถงใหญ่เริ่มร้องไห้อย่างหนักเหมือนกัน แต่เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงที่มีความละเอียดรอบคอบ มีจิตใจที่กล้าหาญโดยธรรมชาติ เธอแนะนำตัวเองกับพระเจ้า และในไม่ช้าเธอก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทำให้เรื่องเศร้าของเธอแย่ลงไปอีกด้วยความเศร้าโศกซึ่งเธอรู้ว่าไร้สาระ และตั้งใจที่จะไม่กังวลกับเวลาเล็กน้อยที่เธอต้องมีชีวิตอยู่ เพราะเธอเชื่อมั่นว่าสัตว์ร้ายจะกินเธอในคืนนั้น อย่างไรก็ตาม แต่เพื่อการรอคอยและอดทน เธอจึงเดินไปชมพระตำหนักที่สวยงามทั้งหมดแห่งนี้ และความสง่างามของทุกส่วนในวังก็ดึงดูดใจ ซึ่งเธออดชื่นชมไม่ได้ เพราะมันเป็นสถานที่ที่น่ารื่นรมย์

แต่สิ่งที่เธอประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อเธอมาถึงประตูที่เขียนไว้ว่า 'อพาร์ทเม้นท์ของเบลล์' เธอเปิดออกอย่างเร่งรีบ และตื่นตาตื่นใจกับความงดงามที่ครอบงำอยู่ตลอด แต่สิ่งที่เธอสนใจเป็นส่วนใหญ่คือห้องสมุดขนาดใหญ่ ฮาร์ปซิคอร์ด และหนังสือเพลงหลายเล่ม 

“ก็ดีนะ” เธอพูดกับตัวเอง

“อสูรร้ายยังไม่ได้ตั้งใจจะกินข้าทันที เนื่องจากเขาดูแลข้า เพื่อที่ข้าจะได้ไม่สูญเสียวิธีที่จะทำให้ตัวเองสนุก” 

จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่า 

“ถ้าข้าต้องอยู่ที่นี่สักเพียงแค่วันหนึ่ง ก็คงไม่มีการเตรียมการทั้งหมดนี้”

การพิจารณานี้เป็นแรงบันดาลใจให้เธอมีความกล้าหาญใหม่ 

เธอเปิดห้องสมุดและหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านคำเหล่านี้ที่อยู่ด้านหลังหนังสือเล่มหนึ่งด้วยตัวอักษรสีทอง:

“คนสวยเจ้าขา จงเช็ดน้ำตาให้แห้ง

 นี่ไม่ใช่สาเหตุของการถอนหายใจหรือความกลัว

 สั่งการได้อย่างอิสระเท่าที่ท่านจะทำได้

 เพราะเมื่อท่านสั่งและข้าพเจ้าเชื่อฟัง”

“อนิจจา!” เธอกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ; “ไม่มีอะไรที่ข้าปรารถนามากเท่ากับการได้เห็นภาพบิดาที่น่าสงสารของข้า และรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ในขณะนี้”

ทันใดนั้น เมื่อสบตากับกระจกที่ดูดีโดยบังเอิญ เพื่อความอัศจรรย์ใจและในนั้นเธอเห็นรูปบ้านเก่าของเธอ และบิดาของนางก็นั่งเศร้าโศกหดหู่มากอยู่ที่ประตูบ้าน พี่สาวของเธอไปพบเขา และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำให้ดูเศร้าโศก แต่ความปิติยินดีของพวกเขาที่กำจัดน้องสาวของพวกเขาออกไป ก็ยังปรากฏให้เห็นในทุกลักษณะ สักครู่ภาพทุกอย่างก็หายไป แต่และความวิตกของเบลล์ในการพิสูจน์นี้เป็นหลักฐานการในใช้พลังอำนาจของอสูร

ประมาณเที่ยงวัน เธอพบโต๊ะวางสำหรับเธอ และมีการแสดงดนตรีไพเราะตลอดเวลาที่เธอรับประทานอาหาร โดยที่เธอไม่เห็นใครเลย แต่เมื่อทานอาหารเย็น เมื่อเธอกำลังจะนั่งที่โต๊ะ เธอได้ยินเสียงของจอมอสูรหมาป่าสีขาว และอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความกลัว

“เบลล์” เขาพูด “เจ้าจะให้ข้าออกไปพบเจ้าได้ไหม”

“นั่นก็แล้วแต่ท่าน” เธอตอบด้วยความกลัวอย่างมาก

“ไม่เลยสักนิด” อสูรกล่าว “เจ้าคนเดียวเป็นเจ้านายผู้หญิงที่นี่ ถ้าการปรากฏตัวของข้ามีปัญหา ข้าจะถอนตัวทันที ถ้าเจ้าก็แค่พูดอย่างนั้น แต่บอกข้าที เบลล์ เจ้าไม่คิดว่าข้าน่าเกลียดมากเหรอ?”


กันท้ายเรื่อง .. พ่วงเรื่อง Covid-19 。∴☆*


จะบอกว่า.. ช่วงนี้เรายังอยู่ในช่วงสภาวะ Covid -19 ระบาดไม่เลิกรานะคะ แถมยังคิดค้นหายาต้านไม่ได้ ดังนั้น เราทุกคนยังต้องรักษาระยะห่างระหว่างคู่รักกันอยู่ค่ะ .. และ .. โปรดจำให้ขึ้นใจ .. ว่า .. กับนิยายใต้เรื่องเหล่านี้มันถูกสร้างขึ้นมาในแบบเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อย ที่ไม่ได้มีสาระมากพอจะไปอ้างอิงกับสิ่งใดได้เช่นเคยนะคะ และเพราะเนื้อหาการนำเสนอ จุดประสงค์ที่สร้างมาก็เพื่อให้อ่านกันเพลินๆ มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีอยู่จริง หรือเกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด มันเป็นเพียงเรื่องที่สมมุติขึ้นมาไว้ใช้สำหรับนั่งอ่าน นอนอ่านกันในวันว่างๆ เท่านั้นค่ะ

ฉะนั้นจึงแน่ใจได้เถอะว่า ฉากบางฉากจึงเป็นเรื่องเล่าโลดโผน จนยากที่จะมามัวมองหาความสมเหตุสมผลใดได้ ยิ่งเพราะบางตอนที่เทียบกับใน 'ยุคสมัยโควิด-19 นี้' มันจึงแทบถือได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องเล่า Fantasy พิสดารเกินกว่าจะเกิดขึ้นจริงนะคะ เพราะเราต้องยอมรับให้ได้ว่าเชื้อไวรัสตัวนี้มันได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์เราแล้วค่ะ แหะๆ .. (หัวเราะแห้ง) เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าไปทดลองเล่นแผลงๆ กันนะคะ .. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เชื้อไวรัสโควิดติดกันได้ง่ายแม้เพียงลมหายใจ แถมยังจะโรคใหม่ที่อุบัติขึ้นอีกมากมาย ที่ต่อให้ป้องกันอย่างไรแต่ถ้าไปสัมผัสคนมีเชื้อก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน (อันนี้จริงจัง โปรดระวังด้วยค่ะ)

อนึ่ง ที่นักเขียนจำเป็นต้องแจ้งชี้แจงเอาไว้ ณ ตรงนี้ก็เพราะเกรงว่าเผื่อบางทีจะมีนักอ่านท่านใดที่เข้าใจอะไรยากพลัดหลงผ่านเข้ามา 

จึงมิได้มีเจตนาติติงผู้ใดเลยจริงๆ 

รักเช่นเดิม..เพิ่มเติมความห่วงใย .. จาก .. ' ก็ ณ ก่อนนั้น ' : writer ..

เส้นแนวนอน 

อย่าลืมติดตามผลงานใหม่ๆ ได้ที่ website นิยายใต้หมอน ของ 'แมงมุมใต้เตียง' นะคะ

https://sites.google.com/view/kor-na-konnan


นิทานพันหนึ่งราตรี: ตำนานแห่งเรื่องเล่าที่ไม่มีวันจบ

นิทานพันหนึ่งราตรี: ตำนานแห่งเรื่องเล่าที่ไม่มีวันจบ กำเนิดจากตำนาน : ต้นกำเนิดของนิทานพันหนึ่งราตรีนั้นยังคงเป็นปริศนา เชื่อกันว่าเรื่องราว...